เสน่ห์เมืองแร่นอง-เกาะพยาม 4 วัน
ทัวร์
ระยะเวลา
4 วัน 3 คืน
สายการบิน
วันเดินทาง
21-24 กันยายน / 12-15 ตุลาคม / 9-12 พฤศจิกายน / 14-17 ธันวาคม 2563
Hilight

พาล่องหัวเมืองปักษ์ใต้ ระนอง เมืองฝนแปดแดดสี่ ที่มีประวัติความเป็นมายาวนานมาก กว่า 250 ปี ตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา อดีตหัวเมืองขนาดเล็กขึ้นกับเมืองชุมพร คนสมัยก่อนไม่ได้เรียกเมืองนี้ว่าระนอง แต่เรียกว่า “แร่นอง” เนื่องจากมีแร่ดีบุกอยู่ในพื้นที่เป็นจำนวนมาก ต่อมาก็ออกเสียงเพี้ยนกันตามเรื่อยๆตามกาลเวลา ที่นี่ระนอง เป็นเมืองเงียบแต่ไม่เหงา มีสีสันมีชีวิตชีวาแบบสโลว์ไลฟ์ เป็นเมืองรองที่มีธรรมชาติจัดสรรครบทุกสิ่ง ทั้งป่าไม้ น้ำตกขุนเขา บ่อน้ำแร่ ทะเล ป่าชายเลน เกาะสวยงาม อีกทั้งยังมีประวัติศาสตร์ ศิลปวัฒนธรรม วัดวาอารามที่งดงามเฉกเช่นกัน   

แผนการท่องเที่ยว
  • Day 1
    วันแรก กรุงเทพฯ-ระนอง-เกาะพยาม (L/D)

    • 07.00 น. พร้อมกันที่ท่าอากาศยานดอนเมือง ณ อาคารผู้โดยสาร 2 ภายในประเทศขาออก ชั้น 3 เคาน์เตอร์ 14-15 สายการบิน NOK AIR โดยมีเจ้าหน้าที่บริษัทฯคอยให้การต้อนรับและ อำนวยความสะดวกในการเช็คอินด้านสัมภาระและเอกสารให้กับท่าน
      09.00 น.   เหินฟ้าสู่ ระนอง โดยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD7312 DMK-UNN 0900-1025 (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)
      10.25 น.   เดินทางถึงสนามบิน เมืองระนอง มัคคุเทศก์ท้องถิ่นรอต้อนรับ พร้อมนำคณะเดินทางสู่ท่าเรือปากน้ำ เพื่อลงเรือเร็วสปีดโบ๊ทไปยัง เกาะพยามแห่งท้องทะเลอันดามัน เวลานั่งเรือประมาณ 30 นาที 
      12.00 น. เดินทางถึงเกาะพยาม เกาะใหญ่เป็นอันดับสองของทะเลระนองรองจากเกาะช้าง และเป็นเกาะที่ชาวบ้านทำการเกษตรปลูกยางพาราและปลูกกาหยูเป็นหลัก อีกทั้งเกาะนี้ยัง
      มีหมู่บ้านชาวมอแกน ผู้ได้ชื่อว่าเป็นยิปซีทะเล ทุกวันนี้พวกเขายังคงเลี้ยงชีพด้วยการจับสัตว์น้ำ รวมทั้งพานักท่องเที่ยวล่องเรือชมความงดงามในมุมต่างๆ ของเกาะพยาม
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางเข้าสู่โรงแรมที่พักเพื่อเช็คอินและพักผ่อนเปลี่ยนอิริยาบถประมาณ 45 นาที พร้อมทั้งเตรียมตัวออกไปดำน้ำ
      14.30 น. ขึ้นเรือเพื่อเที่ยวรอบเกาะ ดำน้ำตื้นดูปลา ชมปะการัง และชมอ่าวต่างๆ ได้แก่ อ่าวเขาควาย อ่าวใหญ่ เดินเล่นชมธรรมชาติริมหาดทรายขาวละเอียด ณ อ่าวเขาควาย ซึ่งมี
      ลักษณะเป็นอ่าวโค้งยาวประมาณ 2 กิโลเมตร มุมทั้งสองโค้งเข้ามาคล้ายเขาควาย ที่นี่เป็นอ่าวที่มีความสงบเงียบ และยามน้ำลงจะเห็นหาดทรายเป็นแนวยาวกว้างไกลสุดตา ทั้งนี้ พื้นที่อ่าวเขาควายแบ่งออกเป็น 2 ส่วน ได้แก่ อ่าวเขาควายเหนือ-ใต้ มีหาดทรายเป็น 2 สี คือช่วงหนึ่งเป็นสีขาวเนียน อีกช่วงหนึ่งเป็นสีอมชมพู อันเกิดจากหอยทับทิมและเศษซากของมันอยู่ที่บริเวณชายหาดนี้จำนวนมาก นอกจากนี้อ่าวควายยังมีเขาทะลุ เป็นอีกหนึ่งจุดเด่นที่ชาวบ้านเรียกกันว่า หินทะลุ โดยมีลักษณะเป็นภูเขาหินลูกเล็กๆ ตรงปลายถูกน้ำกัดเซาะเป็นช่องโพรงทำให้เราสามารถเดินลอดผ่านไปมาได้ จึงเป็นจุดที่นักท่องเที่ยวนิยมถ่ายภาพ อ่าวเขาควายตั้งอยู่ฝั่งตะวันตก ที่นี่จึงเป็นอีกหนึ่งจุดชมวิวพระอาทิตย์ตกที่สวยงามของเกาะ ส่วน อ่าวใหญ่ ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงใต้ของเกาะ ที่ถือเป็นไฮไลท์ของเกาะพยาม เพราะเป็นอ่าวที่มีขนาดพื้นที่ใหญ่สมชื่อ เวิ้งอ่าวมีความยาวราว 4 กิโลเมตร ในยามน้ำลดจะมองเห็นหาดทรายอันกว้างใหญ่ค่อยๆ ลาดเทลงสู่ทะเล เม็ดทรายในอ่าวนี้จัดว่ามีความละเอียดเนียนนุ่มสบายเท้า สีทรายที่อ่าวใหญ่เป็นท2 สีผสมกันคือ สีเหลืองกับสีเทา ยามน้ำลงจะมองเห็นเป็นริ้วๆ สวยงามมาก คลื่นที่อ่าวใหญ่ค่อนข้างแรงเหมาะแก่การเล่นกระดานโต้คลื่นซึ่งเป็นที่นิยมของชาวต่างชาติ แวะอ่าวหินขาว ที่โดดเด่นด้วยก้อนหินสีขาวก้อนใหญ่ตั้งเด่นอยู่ริมทะเล และเป็นที่ตั้งของ “ศาลพ่อตาหินขาว” สิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือจากตำนานที่เล่าสืบต่อ
      กันมาว่า พ่อตาหินขาวมาเข้าฝันบรรพบุรุษของพวกเขาให้เข้ามาตั้งรกรากที่นี่ แล้วนำชม วัดเกาะพยาม ที่ตั้งอยู่ใกล้กับสะพานท่าเรือขึ้นไปทางเหนือ ตื่นตากับโบสถ์กลางทะเล ซึ่งบนหลังคาประดิษฐานพระพุทธรูปยืนปางลีลาหันหน้าออกสู่ทะเล ซึ่งเป็นจุดสังเกตเห็นแต่ไกลยามนั่งเรือมาสู่เกาะ
      18.30 น. รับประทานอาหารเย็น
      19.30 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย ณ โรงแรมที่พัก 
      ** บลูสกาย รีสอร์ท หรือ นิธิพร รีสอร์ท หรือเทียบเท่า **
  • Day 2
    วันที่สอง เกาะพยาม-ระนอง (B/L/D)
    •                                                                         
      เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      ตื่นขึ้นมาสูดอากาศบริสุทธิ์ยามเช้า รับอรุณวันใหม่ ท่ามกลางบรรยากาศแห่งท้องทะเล
      09.30 น. เก็บภาพ ณ จุดชมวิวแบบจุใจ พาแวะชม สวนกาหยูหวาน กาหยูหรือมะม่วงหิมพานต์เป็นพืชเศรษฐกิจ เพาะปลูกได้ทุกท้องที่ เกาะพยามเป็นแหล่งผลิตกาหยูพันธุ์ดี ขนาดโต รสชาติหวานมันกรอบ หอมอร่อย จนเป็นสินค้าที่ระลึกประจำจังหวัด รากและลำต้นของกาหยูใช้ทำยา ยอดอ่อนใช้เป็นผักกินกับน้ำพริก แกงเผ็ด แกงส้ม
      เมื่อได้เวลาพอสมควร เดินทางสู่ท่าเรือ ณ อ่าวแม่หม้าย เพื่อเดินทางกลับสู่เมืองระนองด้วยเรือสปีดโบ๊ท 
      11.30 น. เดินทางถึงท่าเรือฝั่งเมืองระนอง นำคณะมุ่งหน้าตรงไปยังร้านอาหาร
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน
      บ่าย เดินทางไปชม บ้านไร่ไออรุณ ตั้งอยู่ในอำเภอกะเปอร์  จังหวัดระนอง พาท่านมาเช็คอินพร้อมสัมผัสวิถีชุมชนจากแนวคิดสำนึกรักบ้านเกิดและความต้องการอยู่ใกล้ชิดธรรมชาติ ที่นี่เป็นบ้านฟาร์มสเตย์เล็กๆกลางไร่สวนขนาดใหญ่อิงแอบแนบธรรมชาติเพราะวิถีชีวิตที่โอบล้อมไปด้วยต้นไม้และป่าเขา อากาศเย็นตลอดปี มีทรัพยากรและระบบนิเวศที่อุดมสมบูรณ์ เขาสร้างบ้านไม้โดยใช้แนวสถาปัตย์เรียบเท่ห์ๆอิงธรรมชาติที่ทำให้รู้สึกแนบชิดกับธรรมชาติจริงๆ เชิญทานชากาแฟพร้อมอาหารว่างแบบชิลล์ๆ    
      เดินทางไปชม พระราชวังรัตนรังสรรค์ สร้างขึ้นในปีพ.ศ.2433 โดยพระยารัตนเศรษฐี (คอซิมก๊อง) เจ้าเมืองระนองในขณะนั้น เนื่องด้วยรัชกาลที่ 5 ได้เสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้ฝ่ายตะวันตก เป็นครั้งแรกที่จะได้เสด็จไปถึงเมืองระนองในวันที่ 23-25 เมษายน พ.ศ. 2433 พระยารัตนเศรษฐีจึงได้สร้างพลับพลาที่ประทับรับเสด็จที่บนเนินควนอันอยู่ใจกลางเมือง ครั้นพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จไปทอดพระเนตรเห็นจึงดำรัสว่า “ทำงดงามมั่นคงสมควรจะเป็นวังยิ่งกว่าจะเป็นพลับพลา” พระราชทานนาม
      ว่า “พระราชวังรัตนรังสรรค์” เพื่อเป็นเกียรติยศแก่เมืองระนองและสกุลของพระยารัตนเศรษฐีด้วย แต่ทรงพระราชดำริว่า ที่เมืองระนองนานๆจะเสด็จประพาสครั้งหนึ่ง วังทิ้งไว้เปล่าก็จะชำรุดทรุดโทรมเสีย จึงพระราชทานพระบรมราชานุญาตว่าให้ใช้พระราชวังนั้นเป็นศาลารัฐบาลและทำพิธีสำหรับบ้านเมือง ต่อเมื่อมีการเสด็จประพาสเมื่อใดจึงให้จัด เป็นที่ประทับ พระราชวังแห่งนี้ทำด้วยไม้สักและไม้ตะเคียนทอง ถือเป็นพระราชวัง 1 ใน 6 แห่งที่สร้างขึ้นตามหัวเมืองในรัชสมัยล้นเกล้ารัชกาลที่5 อาคารเป็นสถาปัตยกรรมแบบ Europe cabanas มีห้องต่างๆ ได้แก่ ห้องบรรทมพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่ หัว (ชั้น3) ห้องพระราชินี (ชั้น2) จำนวน 6 ห้อง อาคารทรงแปดเหลี่ยม อาคารท้องพระโรง สะพานเชื่อมอาคารที่ประทับกับอาคารแปดเหลี่ยม
      คณะเดินทางถึง โรงต้มซีอิ้วจูสิน เชิญร่วมกิจกรรมท่องเที่ยวเพื่อการเรียนรู้ถึงขั้นตอนผลิต ซีอิ้วตรานกแก้ว ยี่ห้อดังเป็นของคู่ครัวของคนระนองมาแต่โบราณ เพราะมีเคล็ดลับสูตรโบราณพันปี รวมถึงการทำเต้าซี (ถั่วดำออแกนิคคุณภาพดีหมักกับซีอิ้ว) ทายาทรุ่นที่ 4 จะมาต้อนรับคณะเปิดโรงงานนำชมพร้อมบอกเรื่องเล่าความเป็นมาของการหมักซีอิ้วและต้นกำเนิดที่มาของฉลากตรานกแก้วล้วนมีความหมาย ว่ากันว่าซาลาเปาทับหลีเจ้าแรกชื่อ ฮั่นหยกหย่วน ก็ใช้ซีอิ้วตรานกแก้วเป็นส่วนผสมสำหรับซาลาเปาไส้หมูสับ ซีอิ้วยี่ห้อนี้ถือเป็นสินค้าโอท๊อปดังของจังหวัดระนอง 
      เย็น รับประทานอาหารเย็น 
      19.30 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย ณ โรงแรมที่พัก 
      ** SOOK HOTEL หรือเทียบเท่า **
  • Day 3
    วันที่สาม ระนอง ซิตี้ทัวร์ (B/L/D)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม 
      09.00 น. เจาะลึกเมืองระนอง นั่งรถสองแถวไม้อันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะถิ่นที่นี่ เริ่มต้นนำท่านไปสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์คู่บ้านคู่เมืองของเมืองระนอง ณ วัดบ้านหงาว พร้อมรับฟังเรื่องเล่าที่มาของการหล่อองค์พระประธาน“หลวงพ่อดีบุก” พระพุทธรูปปางมารวิชัยที่หล่อด้วยแร่ดีบุกองค์แรกที่ใหญ่ที่สุดในโลก ใช้แร่ดีบุกถึง 3 ตัน รวมถึงอัครสาวกพระสารีบุตรและพระโมคคัลลานะ หลวงพ่อดีบุก มีชื่อทางการว่า “พระติปุกะพุทธมหาศากยมุนีศรีรณังค์” อันมีความหมายว่า “พระพุทธรูปดีบุกองค์ใหญ่เป็นสิริมงคลและศักดิ์ศรีของเมืองระนอง” ส่วนบริเวณด้านหลังของวัด เป็นเนินสูงวิวสวย มีบันไดสร้างขึ้นไปบนภูเขาเหนือหนองน้ำ เป็นบันไดที่ใช้ในประเพณีตักบาตรเทโวของชาวระนอง 
      นำท่านแวะชม ภูเขาหญ้า หรือ เขาหัวล้าน เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่สำคัญของเมืองระนอง ดังที่ได้กล่าวไว้ในคำขวัญของเมืองระนอง “คอคอดกระ ภูเขาหญ้า กาหยูหวาน ธารน้ำแร่ มุกแท้เมืองระนอง” ภูเขาหญ้าเป็นภูเขาหัวโล้น ขนาดไม่สูง สามารถเดินขึ้นไปได้ เนินเขาแต่ละลูกมีทางเดินเชื่อมถึงกัน เมื่อขึ้นไปอยู่ด้านบนจะชมทิวทัศน์ได้โดยรอบ โดยหน้าฝนภูเขาหญ้าจะเป็นสีเขียวดูสวยงาม ส่วนในหน้าแล้งภูเขาหญ้าก็จะเป็นหญ้าแห้งสีน้ำตาล ก่อนที่จะเข้าหน้าฝนในฤดูกาลใหม่จะมีคนมาเผาหญ้าที่บริเวณนี้ เมื่อฝนตกลงมาหญ้าใหม่จะแทงยอดออกมาเขียวไปทั่วทั้งภูเขา ความมหัศจรรย์ของภูเขาหญ้าอยู่ตรงที่ภูเขาลูกนี้เป็นภูเขาหัวโล้นตามธรรมชาติ ไม่ได้เกิดจากการไปตัดต้นไม้จนโล้น และแนวต้นหญ้าที่ขึ้นเสมอกันราวกับมีคนมาตัดแต่งไว้
      นั่งรถสองแถวไม้ ชมเมือง แล่นไปตามถนนให้เห็นบรรยากาศความคึกคักและวิถีชีวิตของคนเมืองที่เรียบง่ายและสุขสงบ วิ่งเลาะไปตามถนนประวัติศาสตร์ของจังหวัดระนอง 
      เป็นถนนในจังหวัดระนองจำนวน 10 สาย ซึ่งได้รับพระราชทานชื่อจากพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 เมื่อครั้งเสด็จประพาสหัวเมืองปักษ์ใต้และแหลมมลายู ทรงแวะประทับที่จังหวัดระนอง ระหว่างวันที่ 23-25 เมษายน พ.ศ. 2433
      ถนนประวัติศาสตร์ 10 สาย ดังกล่าวได้แก่ ท่าเมือง เรืองราษฎร์ ชาติเฉลิม เพิ่มผล ชลระอุ ลุวัง กำลังทรัพย์ ดับคดี ทวีสินค้า ผาดาด เป็นที่เทิดทูนของชาวจังหวัดระนอง เนื่องจากนับเป็นพระปรีชาสามารถที่พระองค์ได้ทรงตั้งชื่อถนนได้คล้องจองกันแล้วชื่อถนนแต่ละสายจะสอดคล้องกับสภาพภูมิประเทศและสภาพของชุมชน เช่น ถนนเรืองราษฎร์ เป็นถนนที่ผ่านย่านตลาดและการค้าขาย ถนนดับคดีเป็นถนนซึ่งผ่านที่ตั้งศาลจังหวัดระนอง เป็นต้น
      นำคณะชม จวนเจ้าเมืองระนอง หรือ บ้านค่ายเจ้าเมืองระนอง เป็นบ้านทรงจีนขนาดกะทัดรัดซึ่งถูกสร้างในสมัยพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซู้เจียง) เจ้าเมืองระนองคนแรก ต้นตระกูล ณ ระนอง เป็นผู้มีความสามารถจัดการทรัพยากรบุคคล คือ กลุ่มชาวจีนที่อพยพเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภารในสมัยรัชกาลที่3 สามารถนำทรัพยากรธรรมชาติอันมีค่า คือ แร่ดีบุก ซึ่งมีมากในพื้นที่ภาคใต้มาสร้างความมั่งคั่งให้กับแผ่นดิน จึงถือเป็นบุคคลสำคัญที่ช่วยดูแลผลประโยชน์ของบ้านเมืองมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่3 จวนเจ้าเมืองระนองที่เห็นอยู่ในปัจจุบันสร้างในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อ พ.ศ.2425 โดยพระยาดำรงสุจริตมหิศรภักดี (คอซิมก๊อง) บุตรชายคนที่ 2 ของท่านคอซู้เจียง เป็นผู้สร้างเพื่อใช้เป็นที่พักของบิดา มีเนื้อที่ประมาณ 33 ไร่เศษ ปัจจุบันตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมืองระนอง อีกทั้งกรมศิลปากรได้ประกาศขึ้นทะเบียนโบราณสถาน ภายในเป็นที่เก็บรวบรวมสิ่งของสำคัญของตระกูล ณ ระนอง ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ 
      ควบคู่กับความเจริญเติบโตของเมืองระนอง ที่น่าสนใจคือ ศาลบรรพบุรุษต้นตระกูล ณ ระนอง 4 รุ่น  ป้ายหน้าศาลบรรพบุรุษ มีอักษรจีนฮกเกี้ยนอ่านว่า เกา-หยาง หมายถึง "ดวงตะวันอันสูงส่ง" บ้านนี้มากด้วยขุนนาง บ้านนี้มากด้วยแก้วแหวนเงินทอง หรีดโลหะชุบเงินและทอง พระราชทานโดยสมเด็จพระยาดำรงราชานุภาพ พระโอรสในรัชกาลที่ 4 
      (หากเชิญได้ วิทยากร : คุณโกศล ณ ระนอง ทายาทรุ่นที่5)
      กลางวัน รับประทานอาหารกลางวัน 
      บ่าย มุ่งหน้าไปยัง บ้านร้อยปีเทียนสือ เที่ยวระนองมองประวัติศาสตร์ในรูปแบบพิพิธภัณฑ์มีชีวิตที่ได้รวบรวมเรื่องราวประวัติศาสตร์ความเป็นมาของจังหวัดระนองเมื่อ 150 กว่าปีก่อน จัดแสดงข้าวของเครื่องใช้ที่เกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตภูมิปัญญาของท้องถิ่น รวมถึงการแต่งกายแบบบาบ๋าและย่าหยา เสน่ห์ของบ้านเก่าคือเรื่องราวของวันวาน บ้านเทียนสือ หลังนี้สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่5 ผู้เป็นเจ้าบ้านคือ "ท่านเทียนสือ" ซึ่งเป็นหลานเขยของ คอซู้เจียง เจ้าเมืองระนอง โดยนายเทียนสือได้แต่งงานกับ "ฉ่ายหล่วน" เป็นหลานสาวของพระยารัษฎานุประดิษฐ์ (คอซินบี้ ณ ระนอง) เจ้าเมืองตรัง การค้าของเทียนสือเจริญรุ่งเรืองทำให้มีฐานะดีร่ำรวยมาก มีเรื่องเล่ากันว่าสมัยก่อน “เทียนสือจะชวนลูกหลานมานั่งนับเหรียญในสวนกลางบ้านและช่วยบรรจุในถุงผ้าใบที่ใช้ใส่แร่ดีบุกเก็บไว้ในบ้านมาก มาย” ดังนั้น บ้านเทียนสือในอดีตจึงเปรียบเสมือนห้องคลังกลางใจเมืองระนอง ที่นี่มีมุมถ่ายภาพเก๋ๆกลิ่นอายวินเทจเพียบ
      แวะชม จุดแคบที่สุดของถนนเพชรเกษม รู้หรือไม่ว่าถนนเพชรเกษมคือถนนสายหลักสายสำคัญจากกรุงเทพฯมุ่งหน้าลงใต้ของประเทศไทยโดยตัดผ่านจังหวัดระนอง ซึ่งปกติ 
      มาตรฐานของถนนเพชรเกษมจะมีขนาดกว้างใหญ่ราว 8 เมตร แต่อย่างไรก็ดีถนนสายนี้ก็มี “จุดแคบที่สุดของถนนเพชรเกษม”อยู่ที่จังหวัดระนอง ความกว้างหดเหลือ 4.7 เมตร ถึงกับต้องตั้งป้ายบอกกันชัดๆเลยทีเดียว เพราะอะไรไปหาคำตอบกันที่ระนอง? 
      นำคณะไปเพลิดเพลินเดินชมบรรยากาศของ บ่อน้ำร้อนรักษะวาริน  ตั้งอยู่ในบริเวณสวนสาธารณะรักษะวาริน เป็นบ่อน้ำแร่ที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติ มีอยู่ 3 บ่อคือ บ่อพ่อ บ่อแม่ และบ่อลูกสาว ทั้ง 3 บ่อมีอุณหภูมิสูงประมาณ 65 องศาเซลเซียส น้ำพุร้อนแห่งนี้ได้รับการวิเคราะห์จากกรมวิทยาศาสตร์บริการว่าประกอบด้วยแร่ธาตุที่สำคัญ และเป็นแหล่งเดียวในประเทศไทยที่ไม่มีสารกำมะถันเจือปนอยู่เลย จึงไม่มีกลิ่นของกำมะถันและมีความบริสุทธิ์ สามารถดื่มได้จากแหล่งกำเนิด โดยไม่ต้องผ่านการกลั่นกรองใดๆทั้งสิ้น ซึ่งมีอยู่เพียงไม่กี่แห่งในโลก นอกจากนี้ยังถือเป็นน้ำบริสุทธิ์ จึงเป็นแหล่งน้ำหนึ่งที่นำไปผ่านพิธีพุทธาภิเษกทำน้ำศักดิ์สิทธิ์ เพื่อใช้เป็นน้ำพระพุทธมนต์ในพระราชพิธีฉลองพระชนมพรรษาครบ 5 รอบของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่นี่มีการจัดสวนหย่อมไว้เป็น
      ที่พักผ่อนหย่อนใจของประชาชนและมีสระน้ำร้อนให้แช่เท้าแช่ตัว เพื่อผ่อนคลายความเมื่อยล้าอีกด้วย อิสระให้ท่านได้เพลินชมวิว สะพานแขวน หามุมถ่ายรูป แช่เท้า นอนประคบร้อนตามอัธยาศัย
      นำคณะไปชม ระนองแคนยอน เป็นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติอีกจุดหนึ่งที่เหมาะสำหรับการพักผ่อนทั้งในยามเช้าและยามเย็น ที่นี่ปลาหลายสายพันธุ์ สามารถให้อาหารปลาที่อาศัยอยู่ในบึงน้ำได้ อาทิ ปลาพลวง ปลาตะเพียนแดง ปลาดุก เป็นต้น ที่นี่เป็นสระน้ำขนาดย่อมสีเขียวมรกตที่โอบล้อมด้วยหุบเขา เหตุที่เป็นเช่นนี้เนื่องจากเคยเป็นเหมืองแร่เก่ามาก่อน ทำให้สภาพภูเขาเกิดลักษณะเว้าแหว่งจนสวยงามแปลกตา
      เย็น รับประทานอาหารเย็น 
      19.30 น. พักผ่อนตามอัธยาศัย ณ โรงแรมที่พัก 
      ** SOOK HOTEL หรือเทียบเท่า **
  • Day 4
    วันที่สี่ ระนอง-กรุงเทพฯ (B)
    • เช้า รับประทานอาหารเช้าในโรงแรม
      09.00 น. เก็บสัมภาระพร้อมเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรม มุ่งหน้าสู่สนามบินระนอง 
      09.30 น. เดินทางถึงสนามบินระนอง เตรียมตัวเช็คอินสำหรับเที่ยวบินและโหลดกระเป๋าสัมภาระ 
      10.55 น.    เหินฟ้าสู่ กรุงเทพฯ โดยสายการบินนกแอร์ เที่ยวบินที่ DD7313 UNN-DMK 
      1055-1220 (ไม่รวมตั๋วเครื่องบิน)
      12.20 น. เดินทางถึงสนามบินดอนเมืองโดยสวัสดิภาพ
      **************************************
Top